ผลวิจัยล่าสุดเผยข้อจำกัดของ ChatGPT ในด้านการให้คำปรึกษาด้านโภชนาการทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อหลายชนิด การวิจัยแสดงให้เห็นว่าแม้ว่า ChatGPT จะสามารถให้คำแนะนำด้านโภชนาการขั้นพื้นฐานได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะให้คำแนะนำที่ขัดแย้งหรือไม่ถูกต้องเมื่อต้องรับมือกับโรคที่ทับซ้อนกันที่ซับซ้อน และไม่สามารถแทนที่คำปรึกษาเฉพาะบุคคลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด การศึกษานี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างต่อเนื่องในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการใช้งานด้านการดูแลสุขภาพ และความจำเป็นในการปรับปรุงเพิ่มเติมในด้านความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและสุขภาพของผู้ป่วย
ผลการวิจัยล่าสุดพบว่า ChatGPT มีข้อจำกัดบางประการในการจัดการการให้คำปรึกษาด้านโภชนาการสำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อหลากหลายชนิด และไม่สามารถทดแทนการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้ นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าแม้ว่าจะให้คำแนะนำเรื่องอาหารโดยทั่วไปได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการเมื่อต้องรับมือกับโรคที่ทับซ้อนกัน ส่งผลให้เกิดคำแนะนำที่ขัดแย้งหรือไม่เหมาะสม ดังนั้น ChatGPT จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติมในการให้คำแนะนำด้านโภชนาการส่วนบุคคลและถูกต้องแก่ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ
โดยรวมแล้ว ผลการศึกษาครั้งนี้เตือนเราว่าถึงแม้เทคโนโลยี AI จะมีศักยภาพสูงในวงการแพทย์ แต่ในปัจจุบันยังคงต้องอาศัยวิจารณญาณและประสบการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพแก่ผู้ป่วย เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ควรถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่พื้นฐานสุดท้ายสำหรับการตัดสินใจทางการแพทย์ ในอนาคต จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงการประยุกต์ใช้ AI ในวงการแพทย์เพื่อให้บริการผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น